ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ

กระแสปรองดองกำลังมาแรง แต่สังคมบ้านเรา ไม่ได้มีเฉพาะการเมืองเท่านั้นที่แบ่งแยก…วงการคนจน คนเกษตรไม่ต่างกัน มีการแบ่งเป็น 2 ฟาก

ฝ่ายหนึ่งสุดโต่งทำเกษตรแบบไม่แตะต้องเคมี เพราะคิดว่า พืชอินทรีย์ไม่ต้องไปซื้อหาปุ๋ย ต้นทุนเลยต่ำ ความเสี่ยงน้อย ผลผลิตปลอดภัยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง ไม่มีสารพิษตกค้างในผลผลิต โรคแมลงน้อย…อีกฝ่ายไม่ใช้อินทรีย์ คิดเอาเองอีกว่า เคมีคือยาวิเศษต้นไม้โตดี เพิ่มผลผลิต แถมป้องกันศัตรูพืชได้ เลยใช้ไม่บันยะบันยัง ต้นทุนจมไปกับค่าปุ๋ย ผลผลิตที่คิดว่าจะได้ดี กลับไม่ดีคุ้มค่าที่จ่ายไป เพราะใช้ผิดที่ ผิดเวลา ผิดชนิด และใช้มากเกินความจำเป็น

ไปๆ มาๆ เราทำเกษตรมากี่ปี จนยกตนว่าเก่งเรื่องปลูกกว่าใครๆ คิดจะเป็นครัวของโลก แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปุ๋ยไม่เป็นกัน

“ปุ๋ยอินทรีย์มีสรรพคุณช่วยปรับสภาพดินโดยตรง ให้คาร์บอนอินทรีย์ อาหารหลักของจุลินทรีย์ ช่วยเพิ่มธาตุอาหารทุกธาตุที่พืชต้องใช้ แต่กว่าจะย่อยสลายให้พืชดูดไปใช้งานได้ ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้นจึงเหมาะที่จะใช้ในขั้นตอนการเตรียมดินปลูกพืช จากนั้นค่อยใช้ปุ๋ยเคมี ที่มีธาตุอาหารสูง เพื่อเข้าไปช่วยย่อยสลายปุ๋ยอินทรีย์ เพราะปุ๋ยเคมีมียูเรียช่วยกระตุ้นให้เกิดการย่อยสลายได้เร็วขึ้น”

ศ.เกียรติคุณ ดร.อำนาจ สุวรรณฤทธิ์ คณะเกษตร มหา วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทบทวนความรู้เรื่องปุ๋ยให้ฟัง

คลิก: http://plantest.net/admin/12/สิ่งที่คุณจะได้รับจากก/บริการ/2018/

แต่ถ้าเราแบ่งแยกข้าง เลือกใช้แต่ปุ๋ยชนิดใดชนิดหนึ่ง…จะเกิดอะไรขึ้น

จากงานวิจัย ถ้าใช้แต่ปุ๋ยอินทรีย์ ต้นทุนจะสูง เพราะปุ๋ยอินทรีย์ 8-70 กก. จึงจะเท่ากับใช้ปุ๋ยเคมี 1 กก. และพืชจะเสี่ยงโรคแมลงรบกวน เนื่องจากเราไม่สามารถปรับให้ปุ๋ยอินทรีย์มีฟอสฟอรัส (P) ในระดับที่ช่วยให้พืชต้านทานโรคแมลงได้ เพราะปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มีฟอสฟอรัสน้อย (ยกเว้นขี้ค้างคาว) พืชเลยขาดเกราะป้องกันโรคแมลง

นอกจากนั้นยังไม่สามารถเติมธาตุอาหารเพื่อปรับแต่งรสชาติของพืช สุดท้ายส่งผลให้คุณภาพลดต่ำลง…พืชผลอินทรีย์ ไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่าพืชผักทั่วไปแต่อย่างใด

ผลที่ตามมาของการใช้อินทรีย์สุดโต่ง ไม่ได้มีแค่นี้…พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ

เครดิต: ไทยรัฐ